ข้อมูล
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
รายละเอียดสินค้า
วิธีการปลูกกระดุมทอง MEL-102
7/19/2022 9:38:58 AM
นางสาว
0 Comments
5,471 View
ลักษณะดอกสีเหลืองเข้ม ดอกดก ทรงต้นเป็นไม้พุ่ม สามารถแตกพุ่มได้อย่างต่อเนื่องนานเป็นปี เมล็ดเหมาะสำหรับลงกระถาง หรือประดับลงแปลง สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล ควรมีการเด็ดยอดเพื่อให้แตกทรงพุ่มแน่น เมื่อต้นมีใบจริงประมาณ 6 ใบ
วัสดุอุปกรณ์
ถาดเพาะ หรือ ตะกร้าเพาะ
พีทมอส สำหรับดอกไม้ ( วัสดุเพาะ )
เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ ( กระดุมทอง )
ป้ายชื่อพันธุ์ดอกไม้
Forcep คีมครีบ
สารป้องกัน และกำจัดเชื้อรา ( โพรพาโมคาร์บ หรือ เมทาแลกซิล )
ถุงมือป้องกันสารเคมี
บัวรดน้ำแบบฝอยละเอียด
วิธีการเพาะเมล็ด
ตรียมน้ำสำหรับผสมวัสดุเพาะโดยผสม โพรพาโมร์คาร์บ อัตรา 0.4 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน
ผสมน้ำที่เตรียมไว้กับพีทมอส โดยค่อยๆเติมน้ำทีละน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นลองบีบวัสดุเพาะเพื่อทดสอบว่า น้ำเข้ากับวัสดุเพาะได้ดีหรือไม่ หากบีบน้ำแล้วมีน้ำออกมาเล็กน้อยตามร่องมือ และวัสดุเพาะเกาะกันเป็นก้อนดีถือว่าใช้ได้ หากมีน้ำไหลออกมามากเกินไป ให้ผสมวัสดุเพาะเพิ่ม หรือไม่มีน้ำซึมออกมาแสดงว่าน้ำน้อยเกินไป ให้เพิ่มน้ำและบีบทดสอบอีกครั้ง
นำวัสดุเพาะที่เตรียมไว้ใส่ถาดเพาะให้เต็มหลุม กระแทก ถาดเพาะ 1 ครั้งเพื่อให้วัสดุเพาะลงถึงก้นหลุม เติมวัสดุเพาะให้เต็ม แล้วปาดหน้าดินถาดเพาะให้เรียบ พอดีกับหลุม
นำถาดเพาะเปล่ามาวางบนถาดเพาะที่ใส่วัสดุเพาะแล้ว จากนั้นกดถาดเปล่าเพื่อทำหลุม โดยหลุมที่กดควรมีขนาดลึกพอดีกับเมล็ด ประมาณ 0.5 ซม.
ทำการหยอดเมล็ดพันธุ์ 1 เมล็ดต่อ 1 หลุม นำวัสดุเพาะที่ยังไม่ได้ผสมน้ำมาใส่ตะกร้าเพื่อร่อนกลบเมล็ดโดยกลบให้มิดเมล็ด เนื่องจากเมล็ดไม่ต้องการแสงในการงอก และเป็นการรักษาสภาพความชื้นในการงอกของเมล็ด
พ่นสารเคมี โพรพาโมคาร์บ อัตรา 1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเมทาแลกซิล 1 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร พ่นให้ทั่วถาด เพื่อป้องโรคเน่าคอดินอีกครั้งนำถาดเข้าไปในบริเวณที่พรางแสง 80%-90% และรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำ อย่าให้ถาดเพาะแห้งจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดไม่งอกหรือแฉะจนเกินไป อาจทำให้เป็นโรคเน่าคอดินในระยะงอกของเมล็ด
การรดน้ำควรรดในช่วงเช้า หรือสังเกตุเห็นว่าดินแห้ง หากให้น้ำมากเกินไป จะก่อให้เกิดความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเชื้อราที่จะตามมา การรดน้ำควรใช้หัวสเปรย์ขนาดเล็ก เพื่อป้องกันในช่วงเพาะกล้าเมล็ดกระจายออก นอกถาด
การดูแลต้นกล้า
การดูแลต้นกล้า แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ต้นกล้าเริ่มงอก หลังจากเพาะเมล็ดไปแล้ว ในระยะนี้ควรรักษาความชื้นโดยการพ่นน้ำและนำไปในที่พรางแสง 50%
ระยะที่ 2 เป็นระยะใบเลี้ยงเริ่มแผ่ โดยใช้เวลาจากระยะแรก 1-2 วัน ควรนำออกแดดจัด เพื่อป้องกันต้นกล้ายืดเข้าหาแสง ในช่วงนี้ 1-2 วันควรรักษาความชื้นไว้อยู่ เนื่องจากต้นกล้ายังเล็ก เมื่อต้นกล้าแข็งแรงควรปล่อย ให้ผิววัสดุแห้งบ้าง เพื่อป้องกันโรคเน่าคอดิน และจะทำให้ต้นกล้าแข็งแรงกว่าการให้น้ำตลอดเวลา ในระยะนี้ยังไม่ควรให้ปุ๋ยเนื่องจากต้นกล้ายังมีอาหารสะสมอยู่ และในตัววัสดุเพาะเองมีการใส่ธาตุอาหารไว้ในระดับหนึ่งแล้ว
ระยะที่ 3 เป็นระยะที่เริ่มมีใบจริง เริ่มให้ปุ๋ยทางน้ำโดยผสมปุ๋ยสูตร 15-0-0 ( แคลเซียมไนเตรท ) หรือปุ๋ย สูตร 20-0-0 อัตรา 3 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ย 46-0-0 หรือยูเรีย เพราะจะทำให้ต้นกล้าอ่อนแอ
ระยะที่ 4 เป็นระยะที่มีใบจริง 2 คู่ เพิ่มการให้ปุ๋ย สูตร 15-0-0 หรือ 20-20-20 อัตรา 6 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร
ดินปลูกสำหรับปลูกลงถุงหรือกระถาง
การเตรียมดินปลูกต้นกล้า ดินปลูกต้องเป็นดินโปร่ง ร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุสูง ระบายน้ำดี ในขณะเดียวกันอุ้มความชื้นได้ดีพอสมควร มีความเป็นกรดเล็กน้อย มี pH ประมาณ 6.5-7 ส่วนผสมของดินปลูก ควรหาง่ายในท้องถิ่น
สูตรดินผสมสำหรับปลูกลงกระถาง
ดินร่วน 1 ส่วน
แกลบดิบ 2 ส่วน
แกลบดำ 1 ส่วน
ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
กาบมะพร้าวสับเล็ก 2 ส่วน
โดโลไมท์ เพื่อปรับสภาพความเป็น กรด-ด่างในดิน 0.5 กิโลกรัม
ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 อัตรา 250 กรัม
การย้ายปลูกต้นกล้า
หลังจากย้ายลงถาดเพาะได้ประมาณ 15-20 วัน มีใบจริง 2-3 คู่ใบขึ้นไป หรือให้สังเกตุดูปริมาณรากว่าหุ้มกับวัสดุเพาะดีแล้ว 2. ควรย้ายปลูกในช่วงเย็น ( แดดอ่อนๆ) เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้าส่งผลให้ต้นกล้ามีการตั้งตัวได้ดีหลังการย้ายปลูก
ดึงต้นกล้าเบาๆ พร้อมดินหุ้มรากให้มากที่สุด ตุ้มไม่แตก เพื่อรากจะได้รับความกระทบกระเทือนน้อยที่สุด
นำต้นกล้าลงในถุงพลาสติก หรือกระถาง โดยการเจาะหลุมดินให้ลึกและกว้างพอกับดินที่หุ้มรากมา
ปลูกในหลุมที่กว้างพอดีกับดินที่หุ้มรากมา และควรปลูกให้ใบจริงอยู่ใกล้ระดับดินมากที่สุด
ดูแลการให้น้ำ และรดน้ำให้ชุ่ม
ดินปลูกสำหรับต้นกล้าดอกไม้ลงแปลง
ควรเริ่มเตรียมแปลงปลูกพร้อมกับเพาะเมล็ด
ไถพรวนและพลิกหน้าดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน นำเศษพืชออกจากแปลง
หลังจากนั้นทำการไถคราดเพื่อกำจัดวัชพืชออกให้หมดและทำให้ดินร่วนซุย เพื่อให้รากเดินได้สะดวกเหมาะสำหรับการปลูก
ถ้าดินมีปัญหาโดยมีค่าความเป็นกรด ด่าง น้อยกว่า 6. 5 ควรเติมปูนขาวเพื่อปรับสภาพ pH ของดิน อัตรา 100 – 300 กก./ไร่ ในขณะใส่ปูนขาวดินควรมีความชื้นเพื่อให้ปูนทำปฏิกิริยากับดินได้ดียิ่งขึ้น และปล่อยทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ ผสมปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 รองพื้น ใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับสภาพดินให้ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และเพิ่มแร่ธาตุในดิน
วิธีการดูแลหลังการย้ายปลูก
การให้น้ำ
ช่วงหลังการย้ายปลูกควรให้น้ำสม่ำเสมอจนฟื้นตัว ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นควรรักษาความชื้นในดินให้เหมาะสมไม่แห้งจนต้นเหี่ยว และไม่แฉะหรือน้ำขังเป็นเวลานานมากเกินไป หากดินขาด
การให้ปุ๋ย
ระยะที่ 1 เสริมสร้างการเจริญเติบโตของราก ลำต้นและใบ หลังจากย้ายกล้าแล้วประมาณ 7 วัน ให้ปุ๋ยไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 15 – 0 – 0 หรือ 25 – 7 – 7 ในอัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ 20 ลิตร รดทุกๆ 5 – 7 วัน ประมาณ 2 – 3 ครั้ง
ระยะที่ 2 ช่วงการเจริญเติบโตถึงระยะสังเกตเห็นตุ่มดอก
Advance Seeds(ตราตะวันต้นกล้า) ADVF1 ซฟ เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ กระดุมทอง ตราตะวันต้นกล้า
Advance Seeds(ตราตะวันต้นกล้า) ADVF1 ซฟ เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ กระดุมทอง ตราตะวันต้นกล้า
Advance Seeds(ตราตะวันต้นกล้า) ADVF1 ซฟ เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ กระดุมทอง ตราตะวันต้นกล้า
เงื่อนไขอื่นๆ
Tags

วิธีการชำระเงิน

บมจ. ธนาคารกรุงไทย สาขาสว่างแดนดิน ออมทรัพย์
Scan this!
หจก. ภูธรพืชผล
1004735631000250456
Accept All Banks | รับเงินได้จากทุกธนาคาร
พูดคุย-สอบถาม